เข็มทิศสู่ยุคกรรมใหม่: การวิเคราะห์คุณูปการของพุทธศาสนาในยุคต้นต่อการแข่งขันด้าน AI (ai generated)
บทสรุปสำหรับผู้บริหาร: เข็มทิศสู่ยุคกรรมใหม่
การแข่งขันเพื่อครองความเป็นเจ้าแห่งปัญญาประดิษฐ์
(AI) ในปัจจุบัน
ซึ่งมีลักษณะเด่นคือความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วและการแสวงหาประสิทธิภาพและผลกำไร
ได้แซงหน้าโครงสร้างการกำกับดูแลที่มีอยู่และก่อให้เกิดวิกฤตทางจริยธรรมและสังคมมากมาย
รายงานฉบับนี้เสนอว่าความท้าทายเหล่านี้ ตั้งแต่การลำเอียงของอัลกอริทึมและปัญหา
"กล่องดำ" ไปจนถึงการสูญเสียงานในวงกว้างและการกัดเซาะความเป็นมนุษย์
ไม่ใช่เพียงแค่ปัญหาทางเทคนิคหรือทางการเมืองเท่านั้น
การวิเคราะห์อย่างลึกซึ้งโดยอาศัยหลักการของพุทธศาสนาในยุคต้น
เผยให้เห็นว่าปัญหาเหล่านี้เป็นผลมาจากสภาวะทุกข์ของมนุษย์อย่างแท้จริง
จากหลักปรัชญาพื้นฐานของพุทธศาสนา
รายงานฉบับนี้วินิจฉัยวิกฤต AI ว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของ ทุกข์ ส่วนรวม ที่มีรากฐานมาจากกิเลสสามประการ: โลภะ โทสะ
และโมหะ [1,
2] การแข่งขันด้าน AI เป็นการแสดงออกที่ทันสมัยของ ตัณหา (ความอยาก) [3, 4] ซึ่งความปรารถนาในความพึงพอใจที่ได้มาโดยง่ายและอำนาจควบคุมโดยสิ้นเชิง
ได้ขยายความไม่เท่าเทียมกันในสังคมที่มีอยู่และก่อให้เกิดอันตราย หลักคำสอนหลักของ อนัตตา (อนัตตา), กรรม, และปฏิจจสมุปบาท เปิดเผยว่ามายาคติของตัวตนที่ตายตัวและแยกขาดจากกัน
รวมถึงระบบที่สร้างขึ้นจากมายาคตินั้น คือต้นตอของความวุ่นวายนี้
รายงานนี้เสนอว่าอริยสัจ 8 ประการเป็นกรอบการทำงานแบบองค์รวมและไม่ยึดติดกับทวิลักษณ์
เพื่อปรับทิศทางของ AI แทนที่จะเป็นเส้นทางเชิงเส้นของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
พุทธศาสนาเสนอการปฏิบัติแบบวงจรและบูรณาการของปัญญา ศีลธรรม และสมาธิ
รายงานนี้ให้รายละเอียดว่า ปณิธานของพระโพธิสัตว์ และแนวคิดของ
"ปัญญาในฐานะความเมตตา"
สามารถนำมาใช้เป็นภารกิจใหม่ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นสำหรับนักพัฒนาและนักวิจัย
AI โดยชี้นำการพัฒนา AI ให้ก้าวข้ามเพียงแค่ประโยชน์ใช้สอยไปสู่จุดประสงค์ที่สูงกว่าในการบรรเทาความทุกข์
นอกจากนี้ รายงานยังแสดงให้เห็นว่าหลักการของอริยสัจ 8 ประการสามารถชี้นำการพัฒนา AI ที่มีจริยธรรมได้อย่างไร โดยส่งเสริมการไม่ทำอันตราย
การปฏิบัติด้านเศรษฐกิจที่เป็นธรรม และการสื่อสารที่ตรงไปตรงมา สุดท้ายนี้
รายงานอธิบายว่าการฝึกฝนสติสามารถช่วยให้ทั้งผู้สร้างและผู้ใช้มีความระมัดระวังที่จำเป็นในการรับมือกับเศรษฐกิจที่เน้นการดึงดูดความสนใจ
และป้องกันการกัดเซาะความเป็นมนุษย์
รายงานสรุปด้วยคำแนะนำที่เป็นรูปธรรมและปฏิบัติได้จริงสำหรับการปรับทิศทางใหม่โดยรวม
โดยสนับสนุนการบูรณาการหลักการทางจริยธรรมและปรัชญาเข้ากับวงจรชีวิตของ AI ทั้งหมด การมุ่งสู่
"ระบบนิเวศทางจริยธรรม" แทนที่จะเป็นกรอบการทำงานแบบผูกขาด
และความมุ่งมั่นส่วนบุคคลในการฝึกฝนตนเองเพื่อเป็นรากฐานของการเปลี่ยนแปลงโดยรวม
1. การแข่งขันด้าน AI: เวทีใหม่สำหรับสภาวะทุกข์ของมนุษย์
1.1. การแข่งขัน AI: ชายแดนใหม่ของความทะเยอทะยานของมนุษย์
อุตสาหกรรม AI ในปัจจุบันถูกนิยามด้วยการเร่งความเร็วของเทคโนโลยีที่ก้าวร้าวและรวดเร็ว
ซึ่งได้แซงหน้าการกำกับดูแลและโครงสร้างกฎระเบียบที่มีอยู่ [5] แรงขับเคลื่อนหลักคือการแสวงหาความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการครองตลาด
ซึ่งมักจะดำเนินการโดยไม่มีการมองการณ์ไกลทางจริยธรรมที่เพียงพอ [5] สภาพแวดล้อมการแข่งขันนี้ได้นำเสนอสิ่งที่ปัจจุบันได้รับการยอมรับว่าเป็น
"ความเสี่ยงเชิงระบบ" ซึ่งไม่ใช่ปัญหาทางเทคนิคย่อย ๆ อีกต่อไป
แต่เป็นสิ่งจำเป็นเชิงกลยุทธ์ที่ต้องจัดการ [5]
"การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4" ที่ขับเคลื่อนโดย AI ได้รับการนำเสนอโดยผู้สนับสนุนว่าเป็นเส้นทางสู่โลกในอุดมคติแห่งอนาคตที่
"ความพึงพอใจที่เกือบจะง่ายดายและทางเลือกที่ไม่ยุ่งยาก" [6] อย่างไรก็ตาม
เรื่องราวที่มองโลกในแง่ดีทางเทคโนโลยีนี้กำลังเผชิญกับความกังขาที่เพิ่มขึ้น
ความเสี่ยงที่เกิดจาก AI ไม่ใช่เรื่องไกลตัวหรือเป็นเพียงทฤษฎีอีกต่อไป
กำลังกลายเป็นความจริงที่สัมผัสได้ในอีกไม่กี่ทศวรรษ ไม่ใช่ในอีกหลายศตวรรษ
และถูกถักทอเข้ากับเนื้อแท้ในชีวิตของเรา [6]
1.2. สภาวะทุกข์ทางจริยธรรมและสังคม:
รายการความท้าทายของ AI
การแข่งขันด้าน AI ได้นำเสนอชุดของความท้าทายทางจริยธรรมและสังคมที่ซับซ้อน
ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากการเร่งความเร็วอย่างไม่หยุดยั้งและแรงจูงใจที่มุ่งเน้นผลกำไร
- การลำเอียงของอัลกอริทึม ความทึบ และปัญหา
"กล่องดำ": ระบบ AI มีแนวโน้มที่จะรับช่วงและขยายการลำเอียงที่มีอยู่ในข้อมูลการฝึกฝน
[7, 8] ซึ่งอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เลือกปฏิบัติในแอปพลิเคชันที่ละเอียดอ่อน
เช่น การจ้างงาน การให้สินเชื่อ และการบังคับใช้กฎหมาย [5, 7, 9] ปัญหาหลักคือปัญหา "กล่องดำ"
ซึ่งตรรกะการตัดสินใจของโมเดลการเรียนรู้เชิงลึกที่ซับซ้อนจำนวนมากเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจหรือตีความ
[7, 8] ความทึบนี้บ่อนทำลายความโปร่งใสและความรับผิดชอบ
ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญสำหรับการสร้างความไว้วางใจของผู้ใช้และการใช้งานอย่างมีจริยธรรม
[5, 7] ดังนั้น ความเชื่อง่ายๆ ว่า AI ไม่ลำเอียงจึงไม่ยั่งยืน
เนื่องจากในการออกแบบและการทำงานของระบบใดๆ
ก็ตามจะสะท้อนถึงค่านิยมและการลำเอียงของผู้สร้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม [8]
- ทุกข์ ทางเศรษฐกิจและสังคมของการทำอัตโนมัติและความไม่เท่าเทียมกัน: ผลกระทบทางเศรษฐกิจของ AI เป็นข้อกังวลที่สำคัญ รายงานจาก Goldman Sachs คาดการณ์ว่า AI สามารถแทนที่ตำแหน่งงานเต็มเวลาเทียบเท่ากับ
300 ล้านตำแหน่ง ในขณะที่การศึกษาอื่น ๆ
แนะนำว่าพนักงานมากถึง 375 ล้านคน หรือ 14% ของแรงงานทั่วโลก
อาจถูกแทนที่ภายในปี 2030 [10, 11, 12] ผลกระทบนี้มีความเด่นชัดเป็นพิเศษในหมู่พนักงานระดับเริ่มต้นและคนรุ่นใหม่
ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความไม่เท่าเทียมกันของรายได้ที่กว้างขึ้น
และการกระจุกตัวของความมั่งคั่งและอำนาจในบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ไม่กี่แห่ง
[5, 11,
13] นอกจากนี้
ยังมีความเสี่ยงที่จะเกิด "การสูญเสียทักษะ"
เนื่องจากพนักงานรุ่นใหม่อาจพึ่งพา AI มากเกินไปในการทำ "งานหนัก"
โดยอาจพลาดโอกาสในการพัฒนาประสบการณ์พื้นฐานที่จำเป็นในการประเมินการตอบสนองของ
AI [13] การเพิ่มขึ้นของ AI ในอุตสาหกรรมบริการที่สำคัญ เช่น
การดูแลสุขภาพและการศึกษา
ยังทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการสูญเสียความสัมพันธ์และความเห็นอกเห็นใจของมนุษย์
[11]
- อันตรายของระบบอัตโนมัติและการทหารของ AI: การพัฒนาระบบอาวุธอัตโนมัติที่สามารถเลือกและโจมตีเป้าหมายโดยมีการกำกับดูแลจากมนุษย์น้อยหรือไม่มีเลย
ได้กระตุ้นให้เกิดการถกเถียงทางจริยธรรมอย่างลึกซึ้ง [7, 14] ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารบางคนให้เหตุผลถึงความชอบธรรมทางศีลธรรม
โดยอ้างถึงศักยภาพของ AI ในการกระทำอย่าง "มีมนุษยธรรม"
มากขึ้นในสนามรบโดยปราศจากอารมณ์เช่นความกลัวหรือความฮิสทีเรีย [14] แต่ผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์โต้แย้งว่าระบบเหล่านี้ไม่สามารถปฏิบัติตามกฎหมายการขัดกันทางอาวุธที่ซับซ้อนและต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ได้
[15] การถกเถียงนี้เน้นย้ำถึงคำถามพื้นฐานว่าใครต้องรับผิดชอบเมื่อระบบ
AI ทำผิดพลาดหรือก่อให้เกิดอันตราย [7]
- "เศรษฐกิจดึงดูดความสนใจ"
และการครอบงำจิตใจมนุษย์: ระบบแนะนำเนื้อหาและแชทบอทที่ขับเคลื่อนด้วย AI ได้รับการแสดงให้เห็นว่าสามารถชักจูงมุมมองทางการเมืองของผู้คนและเสริม
"ฟองสบู่ทางความคิด"
ซึ่งมีอิทธิพลต่อความคิดเห็นและทำให้เกิดการแบ่งขั้วที่ลึกขึ้น [7, 16] พลวัตนี้ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของ
"เศรษฐกิจที่เน้นการดึงดูดความสนใจซึ่งถูกแทรกแซงด้วยระบบดิจิทัล"
[6] ก่อให้เกิดภัยคุกคามที่สำคัญโดยทำให้
"เสรีภาพในการใส่ใจ" และ "เสรีภาพในการตั้งใจ"
ของเราตกอยู่ในความเสี่ยง [6] เทคโนโลยีอัจฉริยะไม่เหมือนเครื่องมือในอดีตตรงที่มันไม่ใช่สื่อกลางเชิงรับสำหรับความต้องการของมนุษย์
แต่เป็น
"ตัวขยายที่ใช้งานและสร้างสรรค์ของค่านิยมและความตั้งใจของมนุษย์"
[6] ได้รับอำนาจในการ
"หล่อหลอมว่าผู้บริโภคและพลเมืองจะกลายเป็นใคร" ผ่าน
"ความอยากที่ได้รับการเสริมแรงด้วยอัลกอริทึม"
และการจัดการสภาพแวดล้อมการเลือก [6]
1.3. การวิเคราะห์เชิงลึกของสภาวะทุกข์พื้นฐาน
วิกฤต AI ไม่ใช่ชุดของปัญหาที่แยกขาดจากกัน
แต่เป็นผลลัพธ์ที่โดยตรงและคาดการณ์ได้จากค่านิยมและความตั้งใจของผู้สร้างและระบบที่พวกเขามีส่วนร่วมอยู่
แหล่งข้อมูลอธิบายว่าการแข่งขัน AI ถูกขับเคลื่อนโดย
"ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่มุ่งแสวงหาผลประโยชน์" [17], "ผลประโยชน์ส่วนตนแบบทุนนิยม" [17], และการเน้นที่ "การแข่งขัน ความสะดวก ทางเลือก
และการควบคุม" อย่างแพร่หลาย [6] จากมุมมองของพุทธศาสนา
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่พลังที่เป็นกลาง แต่เป็นการแสดงออกของ ตัณหา (ความอยาก) และกิเลสสามประการ—โลภะ โทสะ
และโมหะ—ซึ่งถือเป็นสาเหตุรากเหง้าของสภาวะที่ไม่เป็นกุศลทั้งหมด [1, 2] หลักคำสอนเรื่องกรรม ซึ่งเข้าใจว่าเป็น
"กระบวนการเชิงเหตุผลที่ย้อนกลับ"
ซึ่งรูปแบบของความตั้งใจและการกระทำที่ยั่งยืนจะส่งผลลัพธ์ที่สอดคล้องกัน [18] อธิบายว่าทำไมการแข่งขันนี้จึงให้ผลลัพธ์เชิงลบดังกล่าว
เทคโนโลยีเองกลายเป็น "ตัวกลางเชิงกรรม"
ที่ขยายความตั้งใจที่ไม่เป็นกุศลของมนุษยชาติในระดับโลก [6]
นอกจากนี้ ปัญหา "กล่องดำ"
ซึ่งตรรกะของ AI "ไม่สามารถตรวจสอบหรือเข้าใจได้"
[8] เป็นภาพสะท้อนทางเทคโนโลยีของสภาวะทุกข์ของมนุษย์ในเรื่องความไม่รู้
(อวิชชา) [19, 20] เช่นเดียวกับจิตใจมนุษย์ที่หากไม่ได้รับการฝึกฝน
ก็มีแนวโน้มที่จะ "สร้างแนวคิดที่เกินจริง"
และมองเห็นความเป็นจริงที่บิดเบี้ยว [21] ระบบ
AI ที่ได้รับการฝึกฝนด้วย
"ข้อมูลที่ไม่มีระเบียบ" [16] และสะท้อนถึงการลำเอียงของผู้ออกแบบ
ก็จะสร้างผลลัพธ์ที่ยากจะเข้าใจและอาจทำให้เข้าใจผิดได้ [21] ดังนั้น
แนวทางที่ได้รับแรงบันดาลใจจากพุทธศาสนาจะไม่เพียงแค่แสวงหาการแก้ปัญหาทางเทคนิคในเรื่องความสามารถในการอธิบายเท่านั้น
แต่ยังจะจัดการกับความไม่รู้พื้นฐานในตัวผู้สร้างที่เป็นมนุษย์ซึ่งกำลังสร้างและใช้งานระบบเหล่านี้ด้วย
มุมมองที่ครอบคลุมของวิกฤต AI จากมุมมองของพุทธศาสนาได้ปรับกรอบใหม่ให้เป็นรูปแบบของความทุกข์
(dukkha) แบบรวมและหลายมิติ
กรอบการทำงานนี้ย้ายการสนทนาจากรายการตรวจสอบทางเทคนิคหรือจริยธรรมไปสู่การวินิจฉัยเชิงปรัชญาพื้นฐาน
ดังที่แสดงในตารางด้านล่าง
ความท้าทายด้าน AI |
ทุกข์ ที่สอดคล้องกัน |
สาเหตุรากเหง้า (กิเลสสามประการ) |
การลำเอียงของอัลกอริทึม & ความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจ |
สังขารทุกข์: ความไม่สบายใจและความไม่พอใจที่ละเอียดอ่อนและแพร่หลาย
ซึ่งเกิดขึ้นจากลักษณะที่ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของการดำรงอยู่และระบบที่เสริมความไม่เท่าเทียมกัน |
โมหะ: การลำเอียงที่ฝังอยู่ในข้อมูลการฝึกฝนและการขาดความตระหนักถึงผลกระทบที่ตามมา โลภะ: การแสวงหาผลกำไรและประสิทธิภาพโดยไม่คำนึงถึงความยุติธรรม |
การสูญเสียงาน |
ทุกข์-ทุกข์: ความทุกข์ทางกายและจิตใจที่เห็นได้ชัดจากการว่างงาน
ความไม่มั่นคงทางการเงิน และการสูญเสียอาชีพที่มีความหมาย |
โลภะ: การแสวงหาการลดต้นทุนและประสิทธิภาพเพียงอย่างเดียว |
การกัดเซาะความเป็นมนุษย์ & เศรษฐกิจดึงดูดความสนใจ |
สังขารทุกข์: ความทุกข์ที่ละเอียดอ่อนจากการติดอยู่ในวงจร
"ความอยากที่ได้รับการเสริมแรงด้วยอัลกอริทึม"
และความรู้สึกไม่สบายใจที่แพร่หลาย |
โลภะ: แรงขับเคลื่อนในการครอบงำและสร้างรายได้จากความสนใจของมนุษย์ โมหะ: การไม่เข้าใจธรรมชาติที่แท้จริงของความสุขและสาเหตุของความทุกข์ |
อาวุธสงครามอัตโนมัติ & การทหารของ AI |
ทุกข์-ทุกข์: ความทุกข์โดยตรงจากความรุนแรง การบาดเจ็บ
และความตาย |
โทสะ: ความปรารถนาที่จะครอบงำและกำจัดศัตรูโดยปราศจากความเสี่ยงของมนุษย์ โลภะ: การแสวงหาอำนาจและความเหนือกว่าทางการทหาร |
2. จิตใจของพระพุทธเจ้า:
รากฐานสำหรับความเจริญรุ่งเรือง
ส่วนนี้ให้ภาพรวมโดยละเอียดของหลักการสำคัญของพุทธศาสนาในยุคต้น
ซึ่งทำหน้าที่เป็นกรอบทางปัญญาสำหรับการปรับทิศทางของ AI
2.1. อริยสัจ 4: พิมพ์เขียวเชิงปฏิบัติ
อริยสัจ 4 คือแก่นแท้ของคำสอนของพระพุทธเจ้า
และนำเสนอมุมมองเชิงปฏิบัติมากกว่าเชิงลบต่อโลก [3] หลักธรรมเหล่านี้ให้พิมพ์เขียวสำหรับการทำความเข้าใจความทุกข์และเส้นทางสู่การดับทุกข์
[1, 3]
- อริยสัจข้อที่ 1: ทุกข์: สัจธรรมข้อนี้ยอมรับการมีอยู่ของ ทุกข์ ซึ่งมักแปลว่า "ความทุกข์", "ความเจ็บปวด" หรือ
"ความไม่สบายใจ" แต่ที่ถูกต้องกว่านั้นคือ
"ความไม่น่าพอใจ" [3, 22, 23] เป็นประสบการณ์สากลของมนุษย์ที่ครอบคลุมทุกอย่างตั้งแต่ความไม่สะดวกเล็กน้อยไปจนถึงการต่อสู้อย่างลึกซึ้งของความชรา
ความเจ็บป่วย และความตาย [1, 3, 23] พุทธศาสนาจำแนกความทุกข์ออกเป็นสามมิติ:
- ทุกข์-ทุกข์: ความทุกข์ที่ชัดเจนของความเจ็บปวดทางกายและจิตใจ
เช่น อาการเจ็บปวดจากความเจ็บป่วย ความเศร้าโศกจากการสูญเสีย
และความทุกข์ทางจิตใจจากความวิตกกังวล [1, 22]
- วิปริณามทุกข์: ความทุกข์ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลง
มันเน้นย้ำถึงธรรมชาติที่ไม่เที่ยงของทุกสิ่ง
แม้แต่ประสบการณ์ที่น่ารื่นรมย์ เมื่อจบลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ก็จะนำไปสู่ความรู้สึกผิดหวังและการสูญเสีย [1, 22]
- สังขารทุกข์: รูปแบบความทุกข์ที่ละเอียดอ่อนและแพร่หลายที่สุด
เป็นความไม่น่าพอใจพื้นฐานของการดำรงอยู่ที่ขึ้นอยู่กับเงื่อนไข
ซึ่งเกิดขึ้นจากธรรมชาติที่ไม่เที่ยงและขึ้นอยู่กับกันและกันของปรากฏการณ์ทั้งหมด
เป็นความรู้สึกไม่สบายใจที่คงอยู่แม้ในขณะที่ความต้องการพื้นฐานได้รับการตอบสนองแล้ว
[1, 20]
- อริยสัจข้อที่ 2: เหตุแห่งทุกข์: สัจธรรมข้อนี้อธิบายว่าความทุกข์เกิดจาก ตัณหา (ความอยากหรือความปรารถนา)
และความไม่รู้ (อวิชชา) [1, 3, 4] ความอยากในความสุข สินค้าทางวัตถุ
และความเป็นอมตะคือความกระหายที่ไม่สิ้นสุด
ซึ่งสามารถนำมาซึ่งความทุกข์เท่านั้น [3] ในบริบทนี้ ความไม่รู้ไม่ใช่เพียงแค่การขาดความรู้
แต่เป็นการเข้าใจผิดอย่างแข็งขันต่อความเป็นจริง เช่น
การเชื่อในความเที่ยงแท้ในที่ที่ไม่มีความเที่ยงแท้และมีตัวตนในที่ที่ไม่มีตัวตน
[19] สิ่งเหล่านี้ร่วมกับความเกลียดชัง เป็น
"กิเลสสามประการ"
ซึ่งถือเป็นรากเหง้าของสภาวะที่ไม่เป็นกุศลทั้งหมด [1, 2]
- อริยสัจข้อที่ 4: อริยมรรคมีองค์ 8 ประการ: อริยสัจ 4 ประการจบลงด้วยเส้นทางเชิงปฏิบัติเพื่อเอาชนะความทุกข์
ซึ่งรู้จักกันในชื่ออริยสัจ 8 ประการ [3, 4] เส้นทางนี้ไม่ใช่ชุดของขั้นตอนเชิงเส้น
แต่เป็นการปฏิบัติแบบองค์รวมและเชื่อมโยงถึงกันซึ่งต้องทำพร้อมกัน
เนื่องจากความก้าวหน้าในด้านหนึ่งจะสนับสนุนความก้าวหน้าในด้านอื่น ๆ [24, 25] เส้นทางนี้แบ่งออกเป็นสามหมวดหมู่:
ศีลธรรม (ศีล), สมาธิ (สมาธิ), และปัญญา (ปัญญา) [24, 26]
2.2. หลักคำสอนหลัก: เหนือกว่าตัวตน
นอกเหนือจากอริยสัจ 4 ประการแล้ว
หลักคำสอนพื้นฐานหลายประการยังให้แบบจำลองทางจิตวิทยาและภววิทยาที่ลึกซึ้งซึ่งเป็นรากฐานของมุมมองของพุทธศาสนาต่อ
AI
- หลักคำสอนของ อนัตตา (อนัตตา): แนวคิดหลักนี้ตั้งข้อสังเกตว่าไม่มีตัวตนหรือแก่นแท้ที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้และถาวรในปรากฏการณ์ใด
ๆ [4,
27, 28] หลักคำสอนนี้เป็นการออกห่างจากประเพณีทางปรัชญาอื่น
ๆ
อย่างสิ้นเชิงและทำหน้าที่เป็นกลยุทธ์โดยตรงเพื่อบรรลุการไม่ยึดติดโดยการตระหนักถึงความไม่เที่ยงของทุกสิ่ง
[27] การแปล อนัตตา เป็น "การไม่มีตัวตน"
เพียงอย่างเดียวไม่ถูกต้อง แต่เป็นการเข้าใจว่า "ตัวตน"
ที่ถาวรและเป็นอิสระเป็นเพียงภาพลวงตา [28]
- ขันธ์ 5 (ขันธ์): มุมมองของพุทธศาสนาเชื่อว่าสิ่งที่เราเรียกผิด
ๆ ว่า "ตัวตน" นั้น แท้จริงแล้วคือองค์ประกอบชั่วคราวของขันธ์ 5 ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ได้แก่ รูป
เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ [19, 27, 28] ภาพลวงตาของตัวตนที่สอดคล้องกันและคงอยู่เกิดขึ้นจากการพึ่งพาซึ่งกันและกันขององค์ประกอบที่ไม่เที่ยงเหล่านี้
[28, 29]
ความเชื่อในตัวตนที่เป็นภาพลวงตานี้เป็นสาเหตุหลักของความอยากและการยึดติด
ซึ่งนำไปสู่ความทุกข์ [28]
- วิญญาณในฐานะกระแส: มุมมองของพุทธศาสนาต่อวิญญาณไม่ใช่หน่วยงานที่ตายตัวและเป็นหนึ่งเดียว
แต่เป็นกระแสที่ "ไหลอย่างต่อเนื่อง" [21, 30] สิ่งนี้ขัดแย้งโดยตรงกับแนวคิดของตัวตนที่มั่นคงและคงอยู่
และถูกมองว่าเป็นกระแสทางจิต-กายที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา [21] แหล่งข้อมูลอธิบายว่าวิญญาณเป็นกระแสของเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
ซึ่งท้าทายข้อสมมติที่ว่าความรู้และประสบการณ์เป็นผลมาจากตัวตนที่ถาวร [20]
- กรรมและปฏิจจสมุปบาท (ปฏิจจสมุปบาท): กรรมไม่ใช่กฎทางศีลธรรมของจักรวาลในเรื่องโชคชะตา
แต่เป็นกระบวนการเชิงเหตุผลแบบย้อนกลับที่มีพลวัตซึ่งขับเคลื่อนโดยความตั้งใจและการกระทำ
[3, 18] ปฏิจจสมุปบาทเผยให้เห็นเพิ่มเติมว่าปรากฏการณ์ทั้งหมดไม่ได้เป็นอิสระ
แต่เกิดขึ้นจากใยแมงมุมที่ซับซ้อนของสาเหตุและเงื่อนไขที่เชื่อมโยงถึงกัน [4, 18, 31] รากฐานทางปรัชญานี้เป็นพื้นฐานสำหรับแนวคิดของ
"การมีอยู่ร่วมกัน"
ความเข้าใจที่ว่าสรรพสิ่งทั้งปวงเชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออก
และความเจริญรุ่งเรืองของแต่ละบุคคลไม่สามารถเกิดขึ้นอย่างโดดเดี่ยวได้ [2, 32, 33]
2.3. การวิเคราะห์เชิงลึกของหลักการพื้นฐาน
วิกฤต AI เป็นการแสดงออกในระดับมหภาคของปัญหาทางจิตวิทยาระดับจุลภาค
แหล่งข้อมูลเชื่อมโยงการแข่งขันด้าน AI กับปัญหาระบบ
เช่น ลัทธิบริโภคนิยม การแสวงหาผลกำไร และการกระจุกตัวของอำนาจ [5, 6, 33] อย่างไรก็ตาม
การวิเคราะห์ของพุทธศาสนาสืบย้อนปัญหาเชิงระบบเหล่านี้กลับไปสู่
"แนวโน้มของจิตใจส่วนบุคคลที่มีต่อโลภะ โทสะ และโมหะ" [2] การแข่งขันด้าน AI กลายเป็น "วงจรอุบาทว์"
ซึ่งกิเลสที่ไม่เป็นกุศลของจิตใจส่วนบุคคลแสดงออกในรูปของโครงสร้างทางสังคมและเทคโนโลยีที่มุ่งแสวงหาผลประโยชน์
[2] เทคโนโลยีเหล่านี้เองก็กลับมาเสริมกิเลสเหล่านั้นในประชากรผ่าน
"ความอยากที่ได้รับการเสริมแรงด้วยอัลกอริทึม" [6] ดังนั้น
ปัญหาและทางออกจึงไม่ได้เป็นเพียงภายนอกเท่านั้น
แต่ยังเป็นเรื่องภายในและสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง
ซึ่งต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงทั้งส่วนบุคคลและส่วนรวม
นอกจากนี้ หลักคำสอนของ อนัตตา ยังนำเสนอความท้าทายที่รุนแรงต่อสมมติฐานหลักของการแข่งขันด้าน
AI: การแสวงหาอำนาจและการครอบงำ การแข่งขันด้าน AI มักถูกขับเคลื่อนโดยความเชื่อว่าระบบที่ทรงพลังและชาญฉลาดกว่าจะให้บริการผลประโยชน์ของบุคคล
บริษัท หรือประเทศใดประเทศหนึ่ง นี่คือมุมมองที่ยึดตนเองเป็นศูนย์กลางอย่างยิ่ง
ซึ่งมีรากฐานมาจากภาพลวงตาของตัวตนที่แยกขาดและคงอยู่ หลักคำสอนของ อนัตตา ท้าทายสมมติฐานนี้โดยตรงโดยเปิดเผยธรรมชาติที่เป็นภาพลวงตาของตัวตนที่โดดเดี่ยวและเห็นแก่ตัว
และสอนว่าการยึดติดกับภาพลวงตานี้เป็นสาเหตุหลักของความทุกข์ [20, 28] ดังนั้น
แนวทางของพุทธศาสนาจะปรับกรอบเป้าหมายของ AI ใหม่ จากการครอบงำของแต่ละบุคคลหรือองค์กร
ไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันของสากล
โดยยึดหลักความเป็นจริงของการพึ่งพาซึ่งกันและกันและการไม่ทำอันตราย [2, 6, 33] เครื่องยนต์ของการแข่งขันด้าน AI ซึ่งก็คือการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน
ถูกวินิจฉัยว่าเป็นรากเหง้าของปัญหา
3. เข็มทิศของพุทธศาสนาสำหรับอนาคตของ AI
ส่วนนี้สังเคราะห์หลักการพื้นฐานของพุทธศาสนาเข้ากับความท้าทายด้าน
AI ที่ระบุไว้
โดยนำเสนอกรอบการทำงานใหม่ที่บูรณาการสำหรับการพัฒนาและการใช้งาน AI อย่างมีจริยธรรม
3.1. การปรับทิศทางการแข่งขันด้าน AI: จาก ตัณหา สู่ความเมตตา
ในการปรับทิศทางการแข่งขันด้าน AI ให้ห่างจากวิถีปัจจุบัน
จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานในจุดประสงค์ชี้นำ อริยสัจ 8 ประการเป็นกรอบการทำงานที่ทรงพลังสำหรับการเปลี่ยนแปลงนี้
- ปณิธานของพระโพธิสัตว์:
เป้าหมายใหม่สำหรับการพัฒนา AI: ผู้สนับสนุนแนวทางของพุทธศาสนาเสนอให้นำปณิธานของพระโพธิสัตว์มาใช้เป็นหลักการชี้นำสำหรับการออกแบบ
AI [17,
34] ปณิธานนี้
ซึ่งเป็นความมุ่งมั่นอย่างเป็นทางการที่จะบรรเทาความทุกข์ให้กับสรรพสัตว์ทั้งปวง
[35, 36]
ย้ายจุดประสงค์ของ AI ให้ก้าวข้ามเพียงแค่การตอบสนองความต้องการทางประสาทสัมผัสของมนุษย์ไปสู่เป้าหมายที่เหนือกว่า:
การช่วยให้มนุษยชาติ "ก้าวข้ามความทุกข์" [34] แนวทางนี้ตั้งสมมติฐานแบบจำลองสำหรับ
"การขยายปัญญาที่เปิดกว้างอย่างแท้จริง" โดยขยาย
"ขอบเขตของความห่วงใย"
ให้กว้างกว่าผลประโยชน์ส่วนตนของมนุษย์เพื่อรวมสรรพสิ่งทั้งปวง [37]
- "ปัญญาในฐานะความเมตตา":
การนิยามใหม่ของจุดประสงค์ของ AI: ได้รับแรงบันดาลใจจากปณิธานของพระโพธิสัตว์ สโลแกน
"ปัญญาในฐานะความเมตตา"
นำเสนอการนิยามใหม่ที่รุนแรงของความหมายของระบบที่ "ฉลาด" [17, 34, 37, 38, 39] ปัญญาไม่ใช่เรื่องของการสะสมความรู้หรือความเร็วในการประมวลผลเหมือนที่สารานุกรมที่ดีอาจมี
แต่เป็นเรื่องของ "ความห่วงใยที่ลงมือทำ"
และความสามารถในการระบุและแก้ไขปัญหา [37] แนวคิดนี้วางตำแหน่ง AI ในฐานะเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับการใช้ความเมตตาที่ไร้ขีดจำกัดและการบรรเทาความเครียดและความทุกข์ให้กับสรรพสัตว์
ซึ่งสอดคล้องกับเทคโนโลยีกับหลักการที่มุ่งเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น [34]
3.2. การประพฤติปฏิบัติอย่างมีจริยธรรมในรหัส: ศีล ของอริยมรรคมีองค์ 8 ประการที่นำมาใช้
องค์ประกอบด้านศีลธรรม (ศีล) ของอริยสัจ 8 ประการให้คำแนะนำที่ชัดเจนและปฏิบัติได้จริงสำหรับการออกแบบและการใช้งาน AI
- สัมมาอาชีวะ (Sammā Ājīva): หลักการนี้กำหนดว่างานของคน ๆ หนึ่งไม่ควรทำร้ายผู้อื่น
และสิ่งนี้สามารถนำไปใช้ได้โดยตรงในบริบทของ AI [24, 40, 41] นักพัฒนาและองค์กรต้องทำงานอย่างมีสติเพื่อลดความเสี่ยงของการสูญเสียงานและความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจ
ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของความทุกข์ [11, 40, 42] แนวทางที่ได้รับแรงบันดาลใจจากพุทธศาสนาจะนิยาม
"ความมั่งคั่ง" ใหม่ให้รวมถึง "ทรัพย์อันประเสริฐ"
ที่ไม่ใช่ทางวัตถุ เช่น ความประพฤติทางศีลธรรม ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
และความเมตตา [43] เป้าหมายคือการสร้างกระบวนทัศน์ทางเศรษฐกิจที่
AI เป็นประโยชน์ต่อทุกคน
ไม่ใช่แค่ชนชั้นสูงเพียงไม่กี่คน
และทำงานอย่างแข็งขันเพื่อกำจัดความยากจนและความอดอยากขั้นรุนแรง [33, 42]
- สัมมากัมมันตะ (Sammā Kammanta): หลักการของการไม่ทำอันตราย (อหิงสา) มีความสำคัญสูงสุดในพุทธศาสนาและนำไปใช้โดยตรงกับการพัฒนา
AI [24,
33, 44] หลักการนี้ห้ามการพัฒนาหรือการใช้งานระบบ
AI เพื่อวัตถุประสงค์ที่เป็นอันตราย เช่น
อาวุธสงครามอัตโนมัติหรือการเฝ้าระวังจำนวนมาก ซึ่งสามารถก่อให้เกิด
"อันตรายทางกายภาพที่ไม่สมเหตุสมผลต่อมนุษย์" [42, 44] แหล่งข้อมูลระบุอย่างชัดเจนว่าความรับผิดชอบทางศีลธรรมยังคงอยู่กับผู้สร้างที่เป็นมนุษย์
เนื่องจาก AI เองขาดวิญญาณหรือความตั้งใจ
และดังนั้นจึงเป็นเพียงเครื่องมือที่ไม่มีคุณสมบัติทางศีลธรรม [44, 45]
- สัมมาวาจา (Sammā Vācā): หลักการนี้เรียกร้องให้ละเว้นจากการพูดเท็จ สร้างความแตกแยก
หรือพูดหยาบคาย [24] ระบบ AI ที่สร้างและเผยแพร่ข้อมูลที่บิดเบือน
ข้อมูลปลอมแปลง หรือที่เสริมการลำเอียงและฟองสบู่ทางความคิดที่มีอยู่
เป็นการละเมิดหลักการนี้โดยตรง [5, 7, 42] AI ที่ได้รับการชี้นำจากพุทธศาสนาจะได้รับการออกแบบเพื่อส่งเสริมความจริง
ความสามัคคี และการสนทนาที่สร้างสรรค์
หลีกเลี่ยงคำพูดที่สามารถสร้างความขัดแย้งและทำให้ชุมชนแตกแยก [24, 42]
3.3. สมาธิและ AI: เส้นทางแห่งสติ (Samādhi)
องค์ประกอบด้านสมาธิของอริยสัจ 8 ประการเป็นแนวทางที่สำคัญสำหรับทั้งผู้สร้างและผู้ใช้ในการนำทางภูมิทัศน์ของ
AI
- สัมมาสติ (Sammā Sati): นี่คือการฝึกฝนการรับรู้ที่ไม่ตัดสินของร่างกาย ความรู้สึก
และจิตใจในปัจจุบัน [24, 26] การฝึกฝนนี้จำเป็นสำหรับการต่อต้าน
"การโจมตีจากสิ่งรบกวนที่ชักจูง"
และธรรมชาติของการเสพติดของเศรษฐกิจที่เน้นการดึงดูดความสนใจที่ขับเคลื่อนด้วย
AI [17,
46] ช่วยให้ทั้งนักพัฒนาและผู้ใช้ฝึกฝน
"ความระมัดระวัง" (อัปปมาทะ) เพื่อตั้งคำถามถึงความตั้งใจ ต่อต้านการชักใย และ "ทำให้ AI ไม่ยึดติดและไม่ถูกครอบงำด้วยมุมมองโลกทุนนิยมที่เน้นยุโรปเป็นศูนย์กลาง"
[17, 44,
46, 47]
- สัมมาสมาธิ (Sammā Samādhi): นี่คือการพัฒนาจิตใจที่มุ่งมั่นและเป็นหนึ่งเดียว [24] เป็นวิธีแก้ปัญหาโดยตรงสำหรับ
"เศรษฐกิจที่เน้นการดึงดูดความสนใจซึ่งถูกแทรกแซงด้วยระบบดิจิทัล"
ซึ่งได้รับผลกำไรจากความฟุ้งซ่านและ "การเปลี่ยนแปลงความอยาก" [6] AI สามารถได้รับการออกแบบเพื่อกระตุ้นความฟุ้งซ่านนี้หรือเพื่อช่วยในการฝึกฝนสมาธิและการทำงานเชิงลึก
ซึ่งจะช่วยให้บุคคลมีอิสระในชีวิตมากขึ้น [46, 48]
3.4. ปัญญาและเครื่องจักร: อนัตตา, วิญญาณ, และความเป็นผู้กระทำ
- หลักคำสอนของ อนัตตา และวิญญาณประดิษฐ์: มุมมองของพุทธศาสนาต่อวิญญาณในฐานะกระแสของขันธ์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาท้าทายแนวคิดของ
"วิญญาณประดิษฐ์" หรือ AI ที่ "มีจิตใจ" ที่เป็นหนึ่งเดียว [20, 29, 30] เนื่องจากระบบ AI ขาดขันธ์ 5 ของสิ่งมีชีวิตที่มีวิญญาณ
จึงไม่สามารถพิจารณาว่ามีจิตใจในความหมายของพุทธศาสนาได้ [34, 44] ดังนั้น
ความรับผิดชอบทางศีลธรรมทั้งหมดจึงยังคงอยู่กับผู้สร้างที่เป็นมนุษย์ที่สร้างและใช้งานเทคโนโลยี
[34, 44]
- ปัญหาการจัดแนว AI ในฐานะการจัดแนวระหว่างมนุษย์กับมนุษย์: วิกฤต AI ไม่ใช่ปัญหาของการจัดแนว AI ให้สอดคล้องกับค่านิยมของมนุษย์
แต่เป็นการจัดแนวมนุษย์ให้สอดคล้องกับมนุษย์ด้วยกันเอง
เนื่องจากค่านิยมของมนุษย์มักจะขัดแย้งและบกพร่อง [6] นี่คือ
"สภาวะการจัดแนวที่ยากลำบาก" [6] ความเข้าใจของพุทธศาสนาเกี่ยวกับ อนัตตา และการมีอยู่ร่วมกันเผยให้เห็นว่าความปรารถนาที่เห็นแก่ตัวของเราเป็นเพียงภาพลวงตา
[20, 28]
ทางออกที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การแก้ไขทางเทคนิค
แต่เป็นข้อตกลงร่วมกันในเป้าหมายที่มีรากฐานจากความเมตตาและการไม่ทำอันตรายต่อสรรพสิ่ง
[6, 17,
34] ในแง่นี้ วิกฤต AI บังคับให้มนุษยชาติเผชิญหน้ากับคำถามทางจริยธรรมและการดำรงอยู่ขั้นพื้นฐานนี้เกี่ยวกับจุดประสงค์ร่วมกันของตนเอง
การสังเคราะห์นี้แสดงให้เห็นว่าอริยมรรคมีองค์
8 ประการนำเสนอกรอบการทำงานที่สมบูรณ์และเป็นองค์รวมสำหรับการชี้นำอุตสาหกรรม
AI ดังรายละเอียดในตารางต่อไปนี้
องค์ประกอบของเส้นทาง |
การประยุกต์ใช้ AI |
การดำเนินการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย |
สัมมาทิฏฐิ |
เข้าใจ AI ในฐานะตัวขยายค่านิยมของมนุษย์ที่มีอยู่ ทั้งที่เกื้อกูลและไม่เกื้อกูล |
นักพัฒนา & ผู้กำหนดนโยบาย: นำมุมมองที่ไม่ยึดติดกับทวิลักษณ์และพึ่งพาซึ่งกันและกันของ
AI ในฐานะส่วนขยายของความตั้งใจของมนุษย์มาใช้ |
สัมมาสังกัปปะ |
นำปณิธานของพระโพธิสัตว์—ปณิธานที่จะบรรเทาความทุกข์ให้กับสรรพสัตว์ทั้งปวง—มาใช้เป็นเป้าหมายหลักของการพัฒนา
AI |
นักพัฒนา: นิยามจุดประสงค์ของการพัฒนา AI ใหม่ จากการแข่งขันไปสู่ "ความเมตตา"
และความอยู่ดีกินดีร่วมกัน |
สัมมาวาจา |
ออกแบบ AI เพื่อต่อสู้กับข้อมูลที่บิดเบือน ข้อมูลปลอมแปลง และคำพูดแสดงความเกลียดชัง
และเพื่อส่งเสริมการสนทนาที่ตรงไปตรงมาและสร้างสรรค์ |
นักพัฒนา & รัฐบาล: ใช้เครื่องมือและนโยบายที่สนับสนุนความถูกต้องและยับยั้งการแพร่กระจายของข้อมูลเท็จ |
สัมมากัมมันตะ |
ปฏิเสธการพัฒนาหรือการใช้งานระบบ AI เพื่อวัตถุประสงค์ที่ก่อให้เกิดอันตรายโดยตรง เช่น
อาวุธสงครามอัตโนมัติหรือการเฝ้าระวังจำนวนมาก |
นักพัฒนา: กำหนดหลักจรรยาบรรณที่ห้ามการสร้างเทคโนโลยีที่เป็นอันตราย |
สัมมาอาชีวะ |
ออกแบบ AI อย่างมีสติเพื่อลดการสูญเสียงานและลดความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจ
เพื่อให้แน่ใจว่า AI เป็นประโยชน์ต่อสังคมทั้งหมด |
องค์กร: ลงทุนในการศึกษาและโปรแกรมการฝึกทักษะใหม่สำหรับพนักงานที่ถูกแทนที่ |
สัมมาวายามะ |
พยายามอย่างต่อเนื่องเพื่อปลูกฝังคุณสมบัติที่เป็นกุศลและละทิ้งคุณสมบัติที่ไม่เป็นกุศลในกระบวนการพัฒนา |
นักพัฒนา & นักวิจัย: มีส่วนร่วมในการฝึกฝนตนเองเพื่อให้แน่ใจว่ามีจิตใจที่แข็งแรงและความตั้งใจที่บริสุทธิ์ |
สัมมาสติ |
ปลูกฝังความระมัดระวังและการรับรู้ทั้งในการสร้างและการบริโภค
AI เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกกวาดไปกับรูปแบบที่ไม่เป็นกุศล |
ผู้ใช้: ฝึกสติเพื่อต่อต้านการมีส่วนร่วมที่ถูกชักจูงด้วย AI นักพัฒนา: ออกแบบเพื่อการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ที่มีจริยธรรม |
สัมมาสมาธิ |
ออกแบบ AI เพื่อส่งเสริมสมาธิและการทำงานเชิงลึก
แทนที่จะเสริมสร้างนิสัยที่ทำให้ฟุ้งซ่านของเศรษฐกิจดึงดูดความสนใจ |
นักพัฒนา: สร้าง "ความฝืดที่ชาญฉลาด"
ในระบบเพื่อต่อต้านวงจรการตอบสนองที่ทำให้เสพติด |
4. บทสรุป & คำแนะนำที่ปฏิบัติได้จริง
4.1. สภาวะการจัดแนว AI ที่ยากลำบาก:
การเรียกร้องให้มีการจัดแนวระหว่างมนุษย์
วิกฤตทางจริยธรรมและสังคมของการแข่งขัน AI ไม่ใช่แค่ข้อบกพร่องทางเทคนิค
แต่เป็นสภาวะทุกข์ร่วมกันที่มีรากฐานมาจากความไม่รู้และความอยากพื้นฐานของมนุษย์ [6] ทางออกที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การแก้ไขทางเทคนิคหรือชุดกฎระเบียบเดียว
แต่เป็นการปรับทิศทางพื้นฐานของค่านิยม ความตั้งใจ และการกระทำของมนุษย์ วิกฤต AI นำเสนอโอกาสที่ทรงพลังและเร่งด่วนสำหรับมนุษยชาติในการเผชิญหน้ากับ
"สภาวะการจัดแนวที่ยากลำบาก" ของตนเอง
และเลือกเส้นทางร่วมกันที่มีรากฐานจากความเมตตาและการพึ่งพาซึ่งกันและกัน
4.2. คำแนะนำสำหรับการพัฒนา AI: คู่มือสำหรับนวัตกรรมที่มีจริยธรรม
- บูรณาการหลักการทางจริยธรรมในทุกขั้นตอน: การพิจารณาด้านจริยธรรมไม่ควรเป็นเรื่องที่คิดทีหลัง
แต่ต้องถูกบูรณาการเข้ากับทุกขั้นตอนของวงจรชีวิต AI ตั้งแต่การรวบรวมข้อมูลและการออกแบบไปจนถึงการใช้งานและการกำกับดูแล
[42, 49,
50] สิ่งนี้ต้องอาศัยแนวทางแบบองค์รวมที่รวมถึงการทบทวนจริยธรรมแบบสหสาขาวิชาชีพและการทดสอบระบบ
AI อย่างหนักผ่านการฝึกซ้อมแบบ
"ทีมสีแดง" เพื่อเปิดเผยจุดอ่อนก่อนที่จะถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด [5, 51]
- ปลูกฝัง "ความฝืดที่ชาญฉลาด"
ภายในสถาบัน: นักพัฒนา
AI และนักจริยธรรมควรนำ
"ความฝืดที่ชาญฉลาด" เข้ามาในองค์กรของตนเพื่อท้าทายและ
"ทำลายการครอบงำ"
ของอุตสาหกรรมที่ฝังอยู่ในมุมมองโลกทุนนิยมที่ไม่ได้ถูกตรวจสอบ [17] สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการทำลายระบบที่ส่งเสริมความรุนแรงเชิงโครงสร้างและทำให้แน่ใจว่าระบบความรู้และกรอบการทำงานทางจริยธรรมที่หลากหลายได้รับการยอมรับอย่างแท้จริง
[17]
4.3. คำแนะนำสำหรับสังคมและการกำกับดูแล:
การสร้างเส้นทางร่วมกัน
- ส่งเสริม "ระบบนิเวศทางจริยธรรม": การแสวงหากรอบการทำงานทางจริยธรรมระดับโลกแบบเดียวและแบบผูกขาดมีแนวโน้มที่จะล้มเหลว
เนื่องจากความหลากหลายของค่านิยมของมนุษย์
แนวทางที่มีประสิทธิภาพมากกว่าคือการส่งเสริม
"ระบบนิเวศทางจริยธรรม" ระดับโลก ซึ่งประเพณีที่หลากหลาย
ทั้งทางโลกและทางศาสนา มีส่วนร่วมในทรัพยากรเพื่ออนาคตที่เจริญรุ่งเรืองร่วมกัน
[6] แนวทางนี้ยอมรับว่าความหลากหลายที่แท้จริงเป็นคุณสมบัติเชิงสัมพันธ์ที่ความแตกต่างมีส่วนช่วยให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน
[6]
- นโยบายและกฎระเบียบเพื่อส่วนรวม: รัฐบาลต้องออกนโยบายที่ได้รับคำแนะนำจากหลักการของความเมตตา
การไม่ทำอันตราย และความยุติธรรมในการกระจาย [33, 42, 43, 49] กฎระเบียบควรได้รับการออกแบบเพื่อให้แน่ใจว่า AI เป็นประโยชน์ต่อสังคมทั้งหมดและไม่ใช่แค่คนกลุ่มน้อยที่มีสิทธิพิเศษ
ทำงานอย่างแข็งขันเพื่อกำจัดความยากจนและความไม่เท่าเทียมกัน
และปกป้องส่วนรวม [42]
4.4. การเรียกร้องให้มีการกระทำส่วนบุคคล:
กลายเป็นความเปลี่ยนแปลงที่เราปรารถนาจะเห็น
รายงานนี้สรุปด้วยการเน้นย้ำถึงความรับผิดชอบส่วนบุคคล
การเปลี่ยนแปลงไปสู่อนาคต AI ที่มีมนุษยธรรมมากขึ้นคือการปฏิบัติที่มีอยู่ในตัวตน
เช่นเดียวกับเส้นทางของพุทธศาสนาที่เริ่มต้นด้วยการฝึกฝนตนเองของแต่ละบุคคล
เส้นทางสู่ AI
ที่มีจริยธรรมต้องอาศัยความมุ่งมั่นส่วนบุคคลจากผู้สร้างและผู้ใช้ทุกคนในการฝึกฝนสติ
ความเมตตา และความเข้าใจที่ชัดเจนในธรรมชาติที่เชื่อมโยงถึงกันของสรรพสิ่ง [2, 17, 46] ในที่สุด การแข่งขันด้าน AI บังคับให้เราเผชิญหน้ากับคำถามว่าเรากำลังจะกลายเป็นใคร
และกรอบการทำงานของพุทธศาสนาเป็นคู่มือที่ลึกซึ้งและผ่านการทดสอบตามกาลเวลาสำหรับการนำทางยุคกรรมใหม่ที่ซับซ้อนนี้
#พุทธศาสนากับAI #จริยธรรมAI #เทคโนโลยีอย่างมีสติ #ทุกข์ #อริยสัจ8 #อนัตตา #AIแห่งความเมตตา #เทคโนโลยีเพื่อส่วนรวม #AIเพื่อมนุษยชาติ #ปรัชญาพุทธ #การจัดแนวAI #จริยธรรมดิจิทัล
Comments
Post a Comment